เครื่องดนตรีสากล
1.6 ไลร์ (Lyre) คือ เครืองดนตรีที่ต้องเล่นด้วยวิธีดีด เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่มาก ปกติใช้เล่นคลอประกอบการขับร้อง
หรือการขับลำนำ โคลงฉันท์ กาพย์กลอน และที่นำมาใช้มากคือการขัขกล่อมเกี่ยวกับศาสนา
ไลร์ มีโครงสร้างอย่างง่ายๆ มีแขนสองข้างยึดติดกับกล่องเสียง มีคานระหว่างแขนทั้งสองข้างเพื่อสำหรับไว้ขึงสาย
ส่วนมากทำมาจากกระดองเต่า รูปทรงของไลร์มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
1.7 ลูท (Lute) คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายโบราณมีอายุเก่าแก่มาก จากภาพวาดในยุคเมโสโปเตเมียพบว่า
ลูทยุคนี้มีคอยาว เล่นด้วยการใช้นิ้วดีด รูปร่างของลูทเหมือนกับไข่ครึ่งใบหรือลูกแพร์ผ่าครึ่ง คอของลูทมีเฟรท (Flet) คั่นอยู่ 7 อัน ถ้าคอยาวมากจำนวนเฟรทก็จะมากเพิ่มขึ้นด้วย
1.8 แบนโจ (Banjo) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เล่นด้วยวิธีดีดด้วยนิ้วมือหรือดีดด้วยเพล็คทรัม (Plectrum)
นิยมเล่นในกลุ่มนักร้อง นักดนตรีชาวอเมริกัน กล่องเสียงของแบนโจจะเหมือนกับหน้ากลองมีหนังลูกวัวขึงปิดอยู่ คอแบนโจมีเฟรทคั่นอยู่เหมือนกับคอของกีตาร์ สายของแบนโจมีจำนวนตั้งแต่ 4, 5 หรือ 9 สาย โดยทั่วไปจะใช้ชนิด 5 สาย
1.9 กีตาร์ (Guitar) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เล่นโดยวิธีการดีด เกี่ยว หรือกรีดลงบนสายกีตาร์ อาจใช้นิ้ว หรือเพล็คทรัมก็ได้ กล่องเสียงของกีตาร์มีลักษณะคล้ายไวโอลินขนาดใหญ่ คอยาว มีเฟลทโลหะวางคั่นอยู่ มี 6 สาย สายของกีตาร์มีทั้งที่ทำด้วยโลหะ และไนล่อน กีตาร์ในปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบไปอย่างหลากหลาย กีตาร์สายไนล่อนจะเรียกว่า กีตาร์คลาสสิกกีตาร์ที่เกิดเสียงโดยธรรมชาติจะเรียกว่า กีตาร์อคูสติก (Acoustic Guitar) ถ้ามีการนำเอาเครื่องเสียงไปขยายด้วยวงจรไฟฟ้าเพื่อให้เกิดเสียงดังขึ้น ก็จะเรียกว่า กีตาร์ไฟฟ้า (Electric Guitar)
1.10 แมนโดลิน (Mandolin) เป็นเครื่องสายที่ให้ระดับเสียงสูง ผู้เล่นจะใช้เพล็คทรัม หรือ ปิ๊ก ดีดไปที่สาย โดยใช้เทคนิคการดีดแบบ ทรีโมโล (Tremolo) คือการดีดสายขึ้นลงอย่างเร็วติดต่อกันเพื่อให้เกิดเสียงสั่นรัว เป็นเครื่องดนตรีตระกูลลูท มี 2 ชนิดคือ 1) Neapolitan มีความยาว 2 ฟุต 2) Milanese มีขนาดใหญ่กว่า Neapolitan
2. เครื่องลมไม้ (Woodwind Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทนี้ เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านช่องแคบๆ ให้เข้าภายในท่อ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงให้ดังขึ้น
คุณลักษณะของเสียงที่เกิดขึ้น จะแตกต่างกัน ตามขนาดของท่อ ความสั้นยาวของท่อ และความแรงของลมที่เป่าเข้าไปภายในท่อ
เครื่องดนตรีขนาดเล็กจะให้ระดับเสียงสูง เครื่องดนตรีขนาดใหญ่จะให้ระดับเสียงต่ำ ผู้บรรเลงจะต้องเลือกใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับบทเพลง ตามที่ผู้ประพันธ์เพลงได้กำหนดไว้
2.1 บีแฟล็ตคลาริเนต (Bb Clarinet) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดียว ถูกใช้เป็นตัวแทนเมื่อกล่าวถึงปี่คลาริเนตเสมอ ลำตัวปี่คลาริเนตทำด้วยโลหะและไม้ หรือบางครั้งก็ทำด้วยยางหรือพลาสติก ลำตัวปี่กลวง เปลี่ยนระดับเสียงโดยใช้นิ้วและคียืโลหะบุนวมปิดเปิดรู ปี่คลาริเนตมีรูปร่างคล้ายปี่โอโบ แตกต่างกันที่ปากเป่า (กำพวด) คุณภาพเสียงของปี่คลาริเนต มีช่วงเสียงกว้างและทุ้มลึกมีนิ้วพิเศษที่ทำเสียงได้สูงมากเป็นพิเศษ
2.2 เบสคลาริเนต (Bass Clarinet) คุณภาพเสียงของเบสคลาริเนตกว้างและลึกกว่าคลาริเนตในระดับเสียงอื่นๆ เหมาะที่จะนำไปใช้บรรเลงแนวทำนองในระดับเสียงต่ำ เสียงสูงก็สามารถบรรเลงได้เช่นกัน แต่ใช้น้อยมาก ลักษณะเด่นอยู่ที่ข้อต่อ กำพวดจะเป็นรูปโค้งงอ ปากลำโพงทำด้วยโลหะ งอย้อนขึ้นมาคล้ายกับแซ็กโซโฟน
2.3 อัลโตคลาริเนต (Alto Clarinet) ขนาดจะใหญ่และยาวกว่าคลาริเนต มีระดับเสียงต่ำกว่าบีแฟล็ตคลาริเนตอยู่คู่ 5 เพอร์เฟกต์
ปากลำโพงทำด้วยโลหะ โค้งงอย้อนขึ้นมาหมือนแซ็กโซโฟน
2.4อีแฟล็ตคลาริเนต (Eb Clarinet) มีขนาดเล็กกว่าบีแฟล็ตคลาริเนต มีระดับเสียงสูงกว่าคู่ 5 เพอร์เฟกต์
2.5 แซ็กโซโฟน (Saxophone) เครื่องดนตรีในตระกูลแซ็กโซโฟนสร้างขึ้นโดย อดอล์ฟ แซก (Adolph Sax) แห่งเมืองบรัสเซล (Brussels) ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อปี ค.ศ. 1840 ใช้กำพวดที่มีลิ้นเดี่ยว เหมือนอย่างปี่คลาริเนต แต่ลำตัวจะเป็นทรงกรวยเหมือนโอโบ ลำตัวทำด้วยโลหะ ปากลำโพงโค้งงอย้อนขึ้นมา แซ็กโซโฟนขนาดเล็กให้เสียงสูง ขนาดใหญ่ให้เสียงต่ำ เสียงของแซ็กโซโฟนเป็นลักษณะผสมผสานมีทั้งความพลิ้วไหว ความกลมกล่อมและความเข้มแข็งปะปนกัน
แซ็กโซโฟนมีหลายระดับเสียงดังนี้
1) โซปราโน แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
2) อัลโต แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงอีแฟล็ต)
3) เทนเนอร์ แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
4) บาริโทน แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงอีแฟล็ต)
5) ซํบคอนทร้าเบส แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
ขอบคุณที่ให้ความรู้นะคะ